Cactus, Cacti, แคคตัส, กระบองเพชร หลายชื่อเรียก แต่ทั้งหมดนี้คือสิ่งเดียวกัน แน่นอนว่าพืชเหล่านี้ไม่ได้มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย เราจึงควรที่จะศึกษาลักษณะของพืชดังกล่าวก่อน เพื่อความเข้าใจว่าพืชต้องการองค์ประกอบอะไรบ้าง
ก่อนอื่นเรามารู้จักองค์ประกอบของการปลูกพืชก่อนว่ามีอะไรบ้าง
วัสดุปลูก
น้ำ
แสง
สภาพแวดล้อม
วัสดุปลูก
เป็นส่วนสำคัญที่สุดของการปลูก Cactus เลยก็ว่าได้ เนื่องจาก Cactus เป็นพืชแห้งแล้ง ดังนั้น วัสดุปลูกก็จะต้องปรับให้เหมาะสมกับบ้านเรา ซึ่งเป็นโซนร้อนชื้น แถมยังมีฝนอีก ดังนั้นส่วนผสมของวัสดุปลูกจะเต็มไปด้วยวัสดุที่อุ้มน้ำน้อย มีความโปร่ง อากาศถ่ายเทได้ดี (ซึ่งตามธรรมชาติส่วนใหญ่ก็จะมีส่วนประกอบของหินเสียส่วนใหญ่)
การประยุกให้เข้ากับบ้านเรานั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องสังเกตุไม้ของเรานิดหน่อย ซึ่งจะให้บอกเป็นอัตราส่วนแบบเปะๆนี้อาจจะไม่เหมาะกับบางพื้นที่ อย่างแน่นอน ไปดูกันว่า วัสดุปลูกที่เราใช้กันนั้น มีอะไรบ้าง แล้วคุณสมบัติเป็นอย่างไร
หินภูเขาไฟ (Pumice)
หินภูเขาไฟคือหินที่เกิดมาจากภูเขาไฟจริงๆ ได้มาจากการสกัดจากภูเขาไฟ จึงเต็มไปด้วยแร่ธาตุต่าง เช่น ซฺลิกา แคลเซี่ยม แมกนีเซียม โซเดียม โพแทสเซียม
ลักษณะ มีน้ำหนักเบา มีรูพรุนขนาดเล็กจำนวนมาก จึงสามารถดูดซับน้ำไว้ รวมไปถึงสารอาหารต่างๆก็จะถูกดูดซึมไปตามรูพรุนด้วย หินภูเขาไฟ ใช้กันแพร่หลายทั้ง การกรองน้ำ บ่อปลา จนไปถึงการปลูกต้นไม้อย่างเราๆนี่แหละ ขนาด มีตั้งแต่ 0.5 ซม ขึ้นไป (เบอร์ 00, 01, 02) อีกคุณสมบัติที่ดีคือ ช่วยในการปรับความกรดของดิน หรือ ดินเปรี้ยว เพราะหินภูเขาไฟมีค่า pH สูง
เวอร์มิคูไลท์ (Vermiculite)
เวอร์มิคูไลท์ เป็นแร่ มีลักษณะแผ่นบางๆ คล้ายเกล็ดปลาซ้อนกันหลายๆชั้น มีน้ำหนักเบามาก มีกฏิกิริยาเป็นกลาง ต้านทานการเปลี่ยน pH ได้ดี ไม่ละลายน้ำ ดูดซับน้ำได้ดีมากๆ 500% (w/w) สามารถดูดซักธาตุอาหารแล้วค่อยๆ ปล่อยให้ภายหลัง
มีธาตุอาหาร โพแทสเซียม แมกนีเซียม และแคลเซียม ที่พืชสามาถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ข้อควรระวัง เมื่อใช้ไปนานๆ ภายใน 1 ปี ปริมาตรจะลดลงเหลือ ประมาณ 20% ของปริมาตรเดิม และเมื่อผ่านไป 2 ปี สมบัติในการอุ้มน้ำและถ่ายเทอากาศจะสูญเสียไปจนไม่สามารถเป็นวัสดุปลูกอีกได้ (ส่วนใหญ่จะนำไปใช้ผสมกับดินเพาะเมล็ดเพื่อเพิ่มความชื้น)
เพอร์ไลต์ (Perlite)
เพอร์ไลต์ มันคือหินภูเขาไฟเนื้อแก้ว ที่นำไปเผาในอุณภูมิที่เหมาะสมในเวลาที่รวดเร็ว จะขยายตัว มีน้ำหนักเบา และมีความพรุนสูง ช่วยในการ เพิ่มความโปร่ง กักเก็บความชื้นได้ดี รักษาอุณหภูมิในดิน ไม่ให้เปลี่ยนแปลงได้มาก มีค่า pH เป็นกลาง คงทนต่อปฏิกิริยาเคมีได้ดี ไม่ย่อยสลายง่ายเหมือนกับ เวอร์มิคูไลท์ จึงได้รับความนิยมที่จะนำไปผสมวัสดุในการปลูกมากกว่า
พีทมอส (Peat Moss)
พีทมอส คือ ซากพืชจำพวกมอส และซากสัตว์ที่ทับถมเป็นเวลาหลายร้อยปี พบมากบริเวณอากาศหนาว เช่น อลาสก้า ทางตอนเหนือของจีน และเยอรมันนี
พีทมอส แบ่งออกเป็น 5 ชนิด
1. White peat พีทสีขาว
2. Light peat พีทสีอ่อน
3. Brown peat พีทสีน้ำตาล
4. Dark peat พีทสีเข้ม
5. Black peat พีทสีดำ
ความแตกต่างคือความสามารถใชการอุ้มน้ำ สีดำจะอุ้มน้ำไว้ได้ดีที่สุด และที่สำคัญก็แพงที่สุดด้วยเช่นกันเนื่องจากกระบวนการขุดขึ้นมาใช้มีความยากมากกว่า สำหรับ Baanploy นั้น ใช้ได้หมดทุกชนิดเลย วัสดุปลูกคุณภาพสูงจากธรรมชาติ
คุณสมบัติ มีลักษณะโปร่ง ช่องว่างอากาศเยอะ เก็บความชื้นดี อุ้มน้ำดี ค่า pH ต่ำ ไม่มีเชื้อโรคพืช วัชพืช เหมาะกับการเพาะ ชำ ปลูก
ขุยมะพร้าว
หลายคนยังสับสนระหว่าง ขุยมะพร้าว กาบมะพร้าวสับ และ โคโค่พีท ขุยมะพร้าวก็คือ เศษขุย ผง เล็กๆที่ถูกเอาออกจากโรงงานใยมะพร้าว ลักษณะก็จะเป็นขุยๆเล็กเลย ส่วน กาบมะพร้าวก็คือ เอาเปลือกทั้งหมดมาสับตามขนาดที่ต้องการ (ส่วนใญ่มะพร้าวสับเราจะนำไปรองก้นกระถางกัน) ทั้งขุยมะพร้าวและกาบมะพร้าวจะมีพวก เชื้อรา เคมี ไช่แมลง หรือ สารแทนนิน ที่มีความเค็มคงค้างอยู่ จึงต้องนำไปทำการแช่น้ำ 3-5 วัน ก่อนใช้งาน ต่างกับ โคโค่พีท ซึ่งตอนที่เราซื้อมานั้น ผู้ผลิตเอาไปทำกระบวนการ ฆ่าเชื้อโรค และกำจัดสารอื่นๆมาเรียบร้อยแล้ว เราสามารถนำไปใช้ได้เลยทันที แต่นั่นก็ตามมาด้วยราคาที่แพงกว่า
กลับมาที่คุณสมบัติของขุยมาพร้าว น้ำหนักเบา เพิ่มความร่วนซุย อุ้มน้ำได้ดี เก็บความชื้นได้นาน
ดินใบก้ามปู หรือ ใบก้ามปูหมัก
ใบก้ามปู มีคุณสมบัติที่ดีต่อกระบองเพชรคือ มีความโปร่ง ระบายน้ำได้ดี ไม่จับตัว รวมไปถึงมีธาตุไนโตรเจนสูง ซึ่งเปรียบเสมือนปุ๋ยชั้นดี
ดินก้ามปู หลายคนอาจเคยเห็นตามตลาดต้นไม้ที่ขายเป็นถุง สามารถนำมาใช้ได้เช่นกัน แต่จะแนะนำให้ทำการร่อนเสียก่อน เพราะเนื้อดินถุงนั้นจะมีก้อนดิน เศษไม้ใหญ่ ขยะ อื่นๆ ฉนั้นขั้นแรก ร่อนดินด้วยตาข่ายหรือตะกร้าขนาดรูประมาณ 5-10 มิลลิเมตร (ประมาณ ปลายนิ้วก้อย) ส่วนใหญ่ดินแบบนี้จะถูกผสมปุ๋ยอินทรีมาแล้วจึงควรระมัดระวังไม่ให้ใช้มากเกินไป เนื่องจากประบองเพชรค่อนข้างจะไวกับปุ๋ย
ใบก้ามปูกมัก แบบนี้จะเป็นการนำเอาใบก้ามปูไปทำกระบวนการย่อนสลายด้วยทางธรรมชาติ เช่นทับถมเป็นกองแล้วรดน้ำให้เปื่อยใช้เวลานาน ข้อดีคือ ไม่มีอินทรีสารเจอปน ทำให้ไม่ต้องระวังเรื่องปริมาณปุ๋ยมากเกินไป
การเตรียมก่อนนำไปใช้งาน หลังจากร่อนได้ขนาดตามต้องการแล้ว ให้นำไปตากแดดจัด 2-5 วัน เพื่อฆ่าเชื้อรา เชื้อโรค ที่อาจติดมาจากกระบวนการหมักย่อย (ตากบนพื้นปูน หรือแผ่นโลหะจะดีมาก) หนังจากแห้งแล้วสามารถนำไปผสม หรือเก็บใส่ภาชนะ หรือกระสอบ ที่ระบายอากาศได้ดี ไม่แนะนำให้ใส่ถุง เนื่องจากจะเกิดความชื้นอาจเป็นแหล่งเพาะเชื้อราได้
ขี้เถ้าแกลบแห้ง RICE HUSK ASH
คุณสมบัติของขี้เถ้าที่เราไม่ค่อยรู้ มีธาตุซิลิก้าสูง เพิ่มความแข็งแรงของพืช ป้องกันโรค และ แมลงได้สูง มีความเป็นรูพรุนสูง มีคุณสมบัติในการดูดซับน้ำ อุ้มน้ำได้ดี ทำให้เกิดโพรงอากาศในดินทำให้ดินโปร่งร่วนซุยรากเดินได้สะดวก ช่วยปรับสภาพดินเปรี้ยว ดินเป็นกรด ปรับโครงสร้างของดินที่แน่นแข็งให้ร่วนซุยโปร่ง
ส่วนผสมดินปลูก Cactus สูตร Baanploy
ก่อนที่จะเริ่มผสมดินเราได้รู้จักคุณสมบัติของวัสดุต่างๆไปแล้ว ตอนนี้แบ่งออกเป็น 2 จำพวกใหญ่ๆ คือ ตระกูลให้ความโปร่ง กับตระกูลอมน้ำ (มีบางแบบที่ ทั้งโปร่งและอมน้ำด้วย) ขั้นต่อไปคือ เราอยากได้ดินที่อมน้ำประมาณกี่เปอร์เซ็น เราจะได้ปรับส่วนผสมให้เหมาะกับไม้ของเรา
หินภูเขาไฟเบอร์ 0 (เบอร์เล็ก) 50 %
ดินก้ามปู หรือ ใบก้ามปูหมัก 30 %
เวอร์มิคูไลท์ หรือ เพอร์ไลต์ 10 %
พีทมอส หรือ ขุยมะพร้าว 5 %
ขี้เถ้าแกลบ 5 % (ปรับตามค่า pH ให้ได้ 6.5 - 7)
กระถางภาชนะปลูก
Cactus/กระบองเพชร เป็นพืชที่ชอบความโปร่ง อากาศถ่ายเทดี ฉะนั้นกระถางที่เราเลือกใช้ควรมีกระจายความชื้นได้ดี ก้นกระถางมีรูที่สามารถระบายน้ำและอากาศ จะเป็นดินเผา เซรามิค พลาสติก ใช้ได้หมด ก่อนนำมาเพาะปลูกควรทำความสะอาด ล้าง ตากแดด ฆ่าเชื่อรา เชื้อโรค รวมถึงแมลง เพลี้ย ต่างๆ
ขนาดควรมีขนาดใหญ่กว่าไม้อย่างน้อง 1 ซม วัดจากขอบกระถางถึงต้นไม้ ขนาดของกระถางจะส่งผลในเรื่องของการให้น้ำโดยตัว ตัวอย่าง กระถางที่ใหญ่ทรงสูงจะสามารถกับเก็บความชื้นได้ดีการรดน้ำก็จะเว้นระยะเวลานานขึ้นทางตรงกันข้านกระถางเล็กเตี้ยการรักษาความชื้นได้น้อยแน่นอนว่าต้องรดน้ำถึ่ขึ้น ทั้งนี้ขนาดกระถางและรูปทรงจะสัมพันธ์กับการปรุงดินปลูกของแต่ละสวนด้วยเช่นกัน
น้ำ / การให้น้ำ
Cactus/กระบองเพชร เป็นพืชที่ต้องการน้ำเช่นเดียวกับพืชอื่นๆ แต่พฤติกรรมที่แตกต่างคือ กระบองเพชรจะเก็บน้ำเข้าไปในตัวเองให้มากที่สุดเพื่อต่อสู้กับสภาพอากาศที่แห้งแล้ง (นิสัยเดิมเลิกไม่ได้) ดังนั้นเมื่อเรารดน้ำไปเท่าไหร่ก็จะดึงเข้าตัวเองเท่านั้น นั่นเป็นสาเหตุที่เรารดครั้งเดียวอยู่ไปได้อีกนานเลย แต่ถ้าเรายังรดอีกก็จะทำให้รากถูกแช่อยู่ในน้ำจนเปลือยไปเลยก็ได้ ซ้ำหนักคือชื้นมากแฉะมากเชื้อราก็จะมาอีก การให้น้ำจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อกระบองเพชรเลยก็ว่าได้ วิธีให้น้ำง่ายๆคือ เลียนแบบธรรมชาติ รอจนแห้งค่อยให้น้ำโดยการสังเกตุหินโรยหน้าดิน สีของวัสดุปลูกว่าแห้ง หรือยกน้ำหนักดูก็ได้ ส่วนระยะเวลาก็แล้วแต่สวนเลยครับต้องสังเกตุทำความเข้าใจของสวน เช่น ส่วนผสมของดินอมน้ำมากน้อย การถ่ายเถอากาศของโรงเรือน ขนาดกระถาง เหล่านี้มีผลต่อการให้น้ำทั้งหมด สำหรับสวนที่มีไม้ค่อนข้างเยอะควรที่จะจัดขนาดของกระถางต้นไม้ให้มีขนาดใกล้เคียงกัน เพื่อให้เวลาเรารดน้ำจะง่ายขึ้นเนื่องจากกระถางก็เป็นอีกปัจจัยกับการให้น้ำ
ข้อควรระวังของการให้น้ำคือช่วงเวลาการให้น้ำ ช่วงที่ดีคือให้น้ำแล้ว ไม้ ดิน บริเวณพื้นที่ปลูกแห้งได้ง่าย เช่น เวลาเช้า หรือเย็น แต่ไม่ควรค่ำมาก เนื่องจากอาจเกิดเป็นหยดน้ำค้างตามผิว ซอกไม้ เป็นจุดก่อให้เกิดเชื้อรา หรือโรคพืชได้ และจะต้องไม่ร้อนเกินไป เช่นเที่ยง หรือบ่าย เพราะกระบองเพชรประกอบไปด้วยน้ำมาก เมื่ออากาศร้อนเจอน้ำอาจทำให้ผิวสุก หรือรากสุก
เกรดเล็กๆน้อยๆกับการให้น้ำ กระบองเพชรจะมีหินโรยหน้าดินเพื่อประคองต้นและรักษาความชื้นในดิน แต่ในบางครั้งเรารดน้ำแรงเกินไป ไม่นุ่มนวลก็จะเป็นปัญหารำคาญใจเช่นกัน เพราะหินเราจะกระจายทุกครั้งที่รดน้ำ หลายท่านก็จะให้เป็นนำกระถางไปจุ่มน้ำก็ใช้ได้เช่นกัน หรือใช้ฝักบัวที่มีความฟู ฝอยมากๆ ก็จะเป็นความนุ่มนวลให้หินไม่กระจายได้
คุณภาพของน้ำก็เช่นกันเพราะน้ำเป็นส่วนประกอบของกระบองเพชรอยู่มากถ้าน้ำไม่ดี เช่นค่ากรด ด่าง ไม่เหมาะสม ก็จะส่งผลอย่างเห็นได้ชัดเจนเลย อาการหลักๆก็การเจริญเติมโตช้าลง จนไปถึงขาดสารอาหารอันเนื่องจากรากมีปัญหาจากน้ำนั่นเอง
แดด แสงแดด
กระบองเพชรชอบแสงแดด แต่ไม่ชอบร้อน นั่นเป็นสิ่งที่ยากพอควร แต่ก็ทำได้โดย แดดส่วนใหญ่ก็จะเป็น 50 % ของแสง โดยการบังด้วยแสลน หรือบางชนิดสามาถทนแดด 100 % ก็มี ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ระยะเวลาในการได้รับแสงนั้น นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ 7 - 12 ชม ส่วนบางสถานที่ หรือบางประเทศได้รับแสงอาทิตย์เป็นเวลาน้อยกว่านี้ก็นิยมใช้หลอดไฟมาเพิ่มจำนวนชั่วโมงต่อวันได้
แสงแดดจะให้ความร้อน และบ้านเราเป็นประเทศร้อน จึงต้องมีการถ่ายเทอากาศที่ดี บางที่ บางโรงเรืองก็จะมีพัดลมช่วยลดความร้อนในช่วงฤดูร้อนที่อุณหภูมิในโรงเรือนอาจสูงถึง 50 องศา เลยทีเดียว
กระบองเพชรสามารถเจริญเติบโตได้ในอากาศร้อน (ตามธรรมชาติ) แต่จะโตช้า เพราะเกิดการคลายน้ำสูงมาก ทางตรงกันข้ามถ้าอากาศเย็นพอเหมาะก็จะเจริญเติบโตได้ดีเช่นกัน รวมไปถึงผิว สีสัน และสูขภาพของต้นไม้ก็จะดีด้วย
Commenti